วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

บอดี้การ์ดหญิง Female bodyguards





บอดี้การ์ดหญิง 
        เมื่อพูดถึงอาชีพบอดี้การ์ดหลายๆ คนคงจะคิดถึงภาพของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดสูทสีดำสวมแว่นตากันแดดเลนส์สีดำและหูฟังตลอดเวลา แต่ภาพบอดี้การ์ดเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไป ผู้หญิง ที่คุณเห็นว่าเหมือนกับคนทั่วไปที่คุณพบเจอตามห้าง สรรพสินค้าหรือร้านอาหารอาจจะเป็นบอดี้การ์ดหญิงก็เป็นได้ 

         บอดี้การ์ดหรือบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญหรือคนที่มีชื่อเสียง นั้น เป็นอาชีพหนึ่งซึ่งถูกจัดว่าเป็นอาชีพของผู้ชาย เหมือนอย่างอาชีพตำรวจและทหาร เพราะว่าผู้ชายเป็นเพศที่มีร่างกายแข็งแรงและน่าจะให้การคุ้มครอง ปกป้องผู้ที่ว่าจ้างได้เป็นอย่างดี ซึ่งต่างกับผู้หญิงที่ร่างกายบอบบางกว่า แต่ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว บอดี้การ์ดไม่ได้เป็นอาชีพสำหรับผู้ชายเท่านั้น บุคคล สำคัญต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นคนในราชวงศ์ นักธุรกิจ นักการเมือง ภรรยานักการเมือง หรือดาราดังๆ ล้วนแล้วแต่มีความต้องการสูงมากที่จะจ้างบอดี้การ์ดผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 


         ทำไมบอดี้การ์ดหญิงถึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในทุกวันนี้ก็เพราะว่า บุคคลสำคัญทางการเมือง และบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่ได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้น มีผู้หญิง หลายคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศหรือดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง อย่างเช่นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น ที่ตอนนี้หลายๆ ประเทศนิยมให้ผู้หญิงเข้ามารับหน้าที่ เป็นรัฐมนตรีเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ หรือแม้แต่ผู้บริหารระดับซีอีโอของหลายๆ บริษัทก็เป็นผู้หญิง ทำให้การมีบอดี้การ์ดเป็นผู้ชายซึ่งต้องคอยติดตามตลอดเวลาอาจจะดูไม่เหมาะสมได้ และอาจจะเกิดคำครหาในเรื่องชู้สาวระหว่างนายจ้างและบอดี้การ์ด แต่ถ้าหากเป็นบอดี้การ์ดหญิงก็จะช่วย ลดปัญหาเรื่องเหล่านี้ลงได้ 


         อย่างเช่นกรณีของเจ้าหญิงไดอาน่า ประเทศอังกฤษ และเจ้าหญิงสเตฟานี ประเทศโมร็อกโก ที่ทั้งสองพระองค์ถูกผู้คนจำนวนมากพูดถึงเรื่องความ ไม่เหมาะสมในระดับความสัมพันธ์ของการสนิทสนม กันระหว่างผู้เป็นนายจ้างคือเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ และบอดี้การ์ดผู้ชายที่เป็นลูกจ้าง 

         เรื่องความเหมาะสมนั้นยิ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้ผู้หญิง ไม่สามารถไปไหนมาไหนกับผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้ ทำให้บอดี้การ์ดหญิงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญเหล่านี้ อย่างเช่นบุคคลในราชวงศ์ เป็นต้น 


         นอกจากนี้บอดี้การ์ดหญิงยังสามารถกลมกลืน เข้ากับสังคมทั่วไปได้ดีกว่าผู้ชาย การที่มีผู้ชายใส่ชุด สูทสีดำมาคอยเดินตามหรือไปไหนด้วยตลอดก็อาจจะทำให้เป็นจุดเด่นในสายตาของคนทั่วไป และคนอื่น ก็สามารถเดาได้ว่า ผู้หญิงที่มีชายในชุดดำคอยเดินตามเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในด้านใดด้านหนึ่ง หรือคนที่มีจุดประสงค์จะทำร้ายก็จะสามารถเดาได้ว่ามีบอดี้การ์ดกี่คนที่คุ้มครองผู้หญิงคนนี้อยู่ ในทาง ตรงกันข้ามถ้าหากเปลี่ยนเป็นบอดี้การ์ดหญิง ผู้คนก็อาจจะคิดว่าเป็นเพื่อนกัน มากกว่าเป็นนายจ้างกับ บอดี้การ์ด และเมื่อต้องไปในสถานที่ที่มีคนมากมาย ก็จะไม่กลายเป็นเป้าสายตาไปด้วย เพราะคงไม่มีใครสงสัยหากจะมีผู้หญิงหลายคนเดินกันเป็นกลุ่มในห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหาร 


         แม้กระทั่งการเป็นบอดี้การ์ดให้กับเด็ก ผู้หญิง ก็สามารถที่จะกลมกลืนกับสถานที่ต่างๆ ได้ดีกว่าผู้ชาย อย่างเช่น การไปรับเด็กกลับมาจากที่โรงเรียน ถ้าหากเป็นบอดี้การ์ดหญิง ผู้คนก็จะคิดว่าเป็นพี่เลี้ยง เด็กมากกว่าบอดี้การ์ด และไม่กลายเป็นจุดสนใจของผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่ไปรับบุตรหลานที่โรงเรียนอีกด้วย แต่ถ้าหากเป็นผู้ชายก็อาจจะทำให้ผู้คนเชื่อได้ยากว่าเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และอาจจะสงสัยว่ามีความ เกี่ยวข้องกับเด็กอย่างไร เพราะอาจจะดูไม่เหมือนว่าเป็นญาติกัน 

         เหตุผลเหล่านี้ทำให้มีคนต้องการจ้างบอดี้การ์ดหญิงเป็นจำนวนมาก มีบริษัทและองค์กรต่างๆ ในหลายๆ ประเทศเริ่มรับสมัครผู้หญิงเข้ามาฝึกฝนทักษะต่างๆ สำหรับการเป็นบอดี้การ์ด อย่างเช่นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว การใช้อาวุธเป็นต้น เพื่อที่บอดี้การ์ดหญิงจะได้ปกป้องลูกค้าได้ในทุกสถาน การณ์ 


         ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับอาชีพบอดี้การ์ดไม่ใช่พละกำลังหรือความแข็งแรง หากแต่เป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดและความรอบคอบ เพราะว่าหน้าที่หลักๆ ของบอดี้การ์ด คือ การประเมินความเสี่ยง และทำอย่างไรก็ได้ให้ความเสี่ยงเหล่านี้น้อยลง ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของบอดี้การ์ดจะหมดไปกับการวางแผนลดความเสี่ยงให้กับลูกค้าโดยดูจากตารางงาน การเดินทาง และพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้ การวางแผนการต่างๆ อย่างรัดกุมจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าพละกำลัง ซึ่งไม่เหมือนกับงานของตำรวจที่ต้องการคนที่มีร่างกายแข็งแรง เพราะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายตลอดเวลา 

         ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ต้องการจ้างบอดี้การ์ดก็ยังคงคิดว่าความแข็งแรงและพละกำลังยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งอาจจะทำให้มีผู้ว่าจ้างหลายคนที่ไม่มั่นใจว่าบอดี้การ์ดหญิงจะให้ความคุ้มครองได้ บอดี้การ์ดหญิงจึงอาจจะกลายเป็นตัวเลือกท้ายๆ ไปได้ ดังนั้นเพื่อชดเชยข้อด้อยในจุดนี้ บอดี้การ์ดหญิงที่เคยเป็นทหาร หรือตำรวจหญิงมาก่อน จึงได้เปรียบมากกว่าบอดี้การ์ดหญิงทั่วไป เพราะว่าพวกเธอได้ผ่านการฝึกวิธีการต่อสู้และป้องกันตัวมาแล้ว ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจมากขึ้นในการที่จะจ้างบอดี้การ์ดหญิง 


         ตอนนี้บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกจึงเริ่มรับสมัครผู้หญิงที่ต้องการจะเป็นบอดี้การ์ดให้เข้ามาฝึกฝนการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวอย่างหนัก เพื่อลบล้างข้อด้อยของพวกเธอและทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าบอดี้การ์ดหญิงเหล่านี้สามารถปกป้องพวกเขาได้ 

         ถึงแม้ว่าการจะเป็นบอดี้การ์ดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก แต่ค่าจ้างสำหรับการเป็นบอดี้การ์ดนั้นไม่ได้น้อยเลย บอดี้การ์ดหญิงเหล่านี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (ประมาณ 3,100 บาท) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะเลยทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับอาชีพอื่นๆ 


         หรืออย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ต้องการจ้างบอดี้การ์ดหญิง เพราะว่าที่ประเทศ อังกฤษมีบุคคลสำคัญ คนที่มีชื่อเสียงและนักธุรกิจหญิงเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น เจ้าชาย วิลเลียมและเจ้าหญิงแคทเธอรีนและนักเขียนชื่อดัง เจ เค โรว์ลิ่ง เป็นต้น ที่ล้วนแต่จ้างบอดี้การ์ดหญิง ยิ่งช่วงเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน จะเป็นช่วงที่ชาวตะวันออกกลางนิยมมาเที่ยวที่ประเทศอังกฤษ ทำให้ความต้องการบอดี้การ์ดหญิงสูงขึ้นไปอีก 

         อาชีพบอดี้การ์ดหญิงที่ประเทศอังกฤษเรียกได้ว่าเป็นอาชีพยอดนิยมอาชีพหนึ่งของสาวๆ เมือง เพราะว่ารายได้ค่อนข้างสูง โดยจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 300-1,000 ยูโรต่อวัน (ประมาณ 12,300-41,000 บาท) ขึ้นอยู่กับว่าบอดี้การ์ดหญิงคนนั้นมีประสบการณ์ในการทำงานนานขนาดไหน นอกจากรายได้ดีแล้ว บอดี้การ์ดหญิงยังได้เดินทางไปต่างประเทศด้วยที่นั่งในชั้นธุรกิจและได้พักโรงแรมห้าดาวเหมือนกับนายจ้าง เรียกได้ว่านายจ้างไปไหนและอยู่อย่างไร บอดี้การ์ด หญิงก็จะได้รับเหมือนกัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อาชีพนี้มีความน่าสนใจสำหรับผู้หญิงหลายๆ คน 


         แต่การจะเป็นบอดี้การ์ดหญิงในประเทศอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ต้องการจะเป็นบอดี้การ์ดจะต้องได้รับใบอนุญาตให้เป็นบอดี้การ์ดจากทางรัฐบาล โดยจะต้องผ่านการทดสอบ และได้รับการฝึกอบรมการใช้อาวุธ การใช้ศิลปะป้องกันตัว และทักษะการขับรถที่เหนือกว่าการขับรถทั่วไป 

         เช่น บอดี้การ์ดจะต้องสามารถขับรถให้หมุน 180 องศาได้เหมือนอย่างในหนังเลยก็ได้ เพื่อป้องกัน ไม่ให้รถของผู้ต้องสงสัยหรือผู้ร้ายเข้ามาประชิดหรือขับชนรถของนายจ้างได้ 

         แม้ว่างานบอดี้การ์ดหญิงจะเป็นที่ต้องการเป็นจำนวนมาก แต่โอกาสในการได้งานทำนั้นค่อนข้างน้อย เพราะว่าลูกค้ามักจะจ้างบอดี้การ์ดที่คนรู้จักกันหรือเพื่อนกันแนะนำมาว่าทำงานดี หรือมีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน มากกว่าการประกาศตามสื่อต่างๆ เหมือนกับอาชีพอื่นๆ เพราะ ฉะนั้นแม้ว่าคุณจะสอบผ่านการเป็นบอดี้การ์ดในอังกฤษและมีใบอนุญาตเป็นบอดี้การ์ด และผ่านการ ฝึกฝนมาเยอะแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหางานบอดี้การ์ดทำ 
 

         สำหรับประเทศไทยเรา ตอนนี้ผู้หญิงก็เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือในภาคธุรกิจ และวัฒนธรรมบ้านเราก็ไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงกับผู้ชายไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกันก็ตาม 

ดังนั้นบอดี้การ์ดหญิงจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับผู้จ้างและเหมาะสมกับวัฒนธรรมบ้านเรา การจ้างบอดี้การ์ดหญิงจึงน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านเราเช่นกัน............."
 
 


วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

หน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ



               ซีเคร็ท เซอร์วิส (Secret Service) คือหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือหน่วยงานที่เป็นทีมบอดี้การ์ดของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญระดับโลกจำเป็นต้องมีทีมอารักขาอย่างเข้มแข็ง และระบบการความปลอดภัยสูงสุด  ทีมที่เราเห็นใส่แว่นดำเพื่อปกปิดสายตาเหล่านี้มีที่มาอย่างไร  และรถยนต์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

 
 
มาดูรถของผู้น้ำกันก่อนว่าในรถมีอะไรบ้าง



ขบวนรถ SUV พร้อมทีม บอดี้การ์ด อาวุธครบมือ
 
 
        บอดี้การ์ดเป็นอาชีพที่มีมาเนิ่นนานแล้ว  อาจจะเป็นหนึ่งในอาชีพที่เก่าแก่พอๆ กับพัฒนาการของระบบสังคมโลกที่ผู้มีอำนาจ  หรือร่ำรวยมักจะวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัย  และต้องมีองครักษ์พิทักษ์กายไว้ใกล้ๆ ในหลากหลายรูปแบบ  อาจจะเริ่มจากคนในบ้าน คนสนิทที่ไว้ใจ เรื่อยมาจนถึงทหาร  และเหล่าบอดี้การ์ดมืออาชีพที่มีการตั้งเป็นองค์กรโดยเฉพาะแต่หากจะเอ่ยถึงกลุ่มบอดี้การ์ดที่น่าเกรงขาม และเป็นที่ จับตามองไปทั่วโลกในขณะนี้น่าจะไม่มีใครเกิน “ซีเคร็ท เซอร์วิส” (Secret Service) หน่วยเจ้าหน้าที่ลับของสหรัฐอเมริกา  ที่มีหน้าที่ในการอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนึ่งในหน่วยงานผู้ทรงอำนาจที่สุดของโลก  ซีเคร็ท เซอร์วิส (Secret Service) ทำหน้าที่อารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ และครอบครัว ของผู้นำ
 
 
       ซีเคร็ท เซอร์วิสเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ.1865  ในระยะแรกๆ มีหน้าที่สอบสวนกรณีเกี่ยวกับเงินปลอม หรืออาชญากรรมอื่นๆ แต่ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูก ลอบสังหารคาตำแหน่งไปแล้ว 3 คน คือ อับราฮัม ลินคอล์น, เจมส์ การ์ฟิลด์ และวิลเลี่ยม แมคคินเลย์  สภาคองเกรสก็ได้เรียกให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานนี้มารับภารกิจสำคัญในการดูแลความปลอดภัยให้ผู้นำประเทศ
 
 
 
 
 
ทีมบนตึกสูง
 
 
 
สังเกตุจำนวน บอดี้การ์ดที่คอยคุมกัน ประธานาธิบดี
 
        เมื่อซีเคร็ท เซอร์วิสกลายเป็นองค์กรที่มีความสำคัญขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ก็จะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น  ขนาดที่หลายคนบอกว่า  กว่าจะผ่านมาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของซีเคร็ท เซอร์วิสได้  จะต้องผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส เพื่อให้สามารถรักษาความ ปลอดภัยแก่ประธานาธิบดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยต้องซ้อมให้พร้อมรับทุกสถานการณ์  รวมไปถึงการยอมเป็นโล่มนุษย์ สละชีวิตแทนท่านผู้นำก็ต้องทำให้ได้

         อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ซีเคร็ท เซอร์วิสเข้าทำหน้าที่  เพิ่งจะมีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่พลีชีพเพื่อเจ้านาย คือเลสลี่ คอฟเฟลท์ ( Leslie W. Coffelt) ซึ่งมีภารกิจดูแลประธานาธิบดี เฮนรี่ ทรูแมน

 เลสลี่ คอฟเฟลท์ (Leslie Coffelt) 

ใน ค.ศ.1950 เกิดเหตุชาย 2 คน พยายามบุก เข้าไปทำร้ายประธานาธิบดีทรูแมน  แต่เลสลี่มาเจอ เข้าเสียก่อน จนเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น กระสุนจากผู้ประสงค์ร้ายพุ่งทะลุร่า งบอดี้การ์ดหนุ่มถึง 3 นัด  แต่เจ้าตัวก็ยังกัดฟันยิงสวนกลับโดนคนร้ายเท่งทึงไป 1 ศพ ส่วนอีกรายบาดเจ็บและถูกจับเข้าซังเต   ทว่า โชคร้ายที่องครักษ์ใจเด็ดไม่รอด เลสลี่เป็นเจ้าหน้าที่ซีเคร็ท เซอร์วิสรายแรก  และรายเดียวที่ เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่

 

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บอดี้การ์ดหญิง เกาหลีใต้


บอดี้การ์ดหญิงเกาหลีใต้

            บอดี้การ์ดหญิง ของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เข้าร่วมการฝึกซ้อมการรักษาความปลอดภัย เพื่ออารักขาผู้นำ ร่วมกับ บอดี้การ์ดชาย โดยการฝึกซ้อมแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า แบบกังฟู และคาราเต้  แสดงให้เห็นความสามารถของบอดี้การ์หญิง ที่มีความหลากหลาย และกำลังเป็นที่นิยมไม่แพ้ ชาย 
 
            ก่อนที่จะได้รับภารกิจอันสำคัญในการคุ้มครองบุคคลสำคัญ  บอดี้การ์ด ชาย / หญิง  ต้องผ่านการฝึกที่หนัก จากหน่วยรบพิเศษ  ทั้งใน และต่างประเทศ  เมื่อรับภารกิจสำคัญ บอดี้การ์ด ชาย / หญิง  ก็จะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น  ขนาดที่หลายคนบอกว่า  กว่าจะผ่านมาเป็น บอดี้การ์ด ได้  จะต้องผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส เพื่อให้สามารถรักษาความปลอดภัยแก่ประธานาธิบดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยต้องซ้อมให้พร้อมรับทุกสถานการณ์  รวมไปถึงการยอมเป็นโล่มนุษย์ สละชีวิตแทนท่านผู้นำก็ต้องทำให้ได้
 
 
 

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The Swiss Guard - สวิสการ์ด กองทหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังประจำการอยู่


 

        The Swiss Guard – สวิสการ์ด เดิมเป็นทหารรับจ้างที่ขึ้นชื่อมาตั้งแต่ยุคกลางครับ   ประวัติยาวนานกว่าทหารกุรข่าเยอะ  จนกระทั่งไปสร้างวีรกรรมที่นครวาติกัน  ทางวาติกันประทับใจมาก  ก็เลยให้เป็นการ์ดในนครวาติกัน  นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวีรกรรมที่เด่นๆ  ก็อันนี้ล่้ะครับ
ย้อนกลับไปในยุคกลาง


        สงครามในคาบสมุทรอิตาลีได้เริ่มขึ้นและเมื่อบรรดาทหารรับจ้างชาวสวิสได้ยินว่า พระเจ้าชาร์ลที่ 8 กษัตริย์ฝรั่งเศสวางแผนทำสงครามใหญ่กับเนเปิล  พวกเขาก็รวมกลุ่มกันไปสมัครเข้าร่วมรบ จนกระทั่งถึงสิ้นปี ค.ศ.1494 กำลังนับพัน ๆ คนของพวกเขาก็รวมกันอยู่ในโรม โดยร่วมไปกับกองทัพฝรั่งเศส ในเดือนกุมภาพันธ์ ของปีถัดมา กองทัพฝรั่งเศสก็สามารถยึดครองเนเปิลได้สำเร็จ ในบรรดาผู้ที่ร่วมทัพในสงครามกับเนเปิลนั้น ได้รวมถึงพระคาดินัล กุยเลียโน เดลลา โรเวีย ผู้ซึ่งจะกลายเป็นสันตะปาปาจูเลียส ที่ 2 ในอนาคต  พระองค์ค่อนข้างคุ้นเคยดีกับชาวสวิส เพราะยี่สิบปีก่อนหน้านั้น พระองค์เคยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้สอนศาสนา ที่เข้าไปในดินแดนของชาวสวิสมาก่อน



                                                            ( สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 )

แม้ว่าจะได้รับชัยชนะ  อย่างไรก็ตามสองสามเดือนหลังจากนั้น ขาร์ลที่ 8 ก็ถูกบีบให้ละทิ้งเนเปิล และต้องเร่งถอยทัพกลับฝรั่งเศส  ทั้งนี้ในความเป็นจริงนั้น   สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่6 ได้ทรงลอบทำการติดต่อกับทาง มิลาน, เวนิช และจักรวรรดิเยอรมัน เพื่อรวมแนวต่อต้านการขยายตัวของฝรั่งเศส การปฏิบัติการรบของทหารสวิสในครั้งนั้นเป็นที่ประทับใจพระคาดินัล กุยเลียโนมาก และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พระองค์ทรงจ้างทหารสวิส เป็นทหารองครักษ์เมื่อพระองค์ขึ้นเป็นพระสันตะปาปาในเวลาต่อมา  หลังจากมาประจำการที่วาติกันในปี ค.ศ. 1506 แล้ว ทหารองครักษ์สวิสได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง วีรกรรมครั้งสำคัญที่เป็นที่จารึกของพวกเขาก็คือ ตอนที่กองทหารรับจ้างสเปนบุกโจมตีกรุงโรม ในวันที่ 6 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1527


                                                           (จักรพรรดิชาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมัน)

         ในเวลานั้น จักรพรรดิชาร์ลที่5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศํกสิทธิ์ได้ทำสงครามกับเหล่าพันธมิตรแห่งคอนแนค (Connac Leaque) อันประกอบด้วย ฝรั่งเศส, มิลาน, เวนิซ, ฟลอเรนซ์ และรัฐสันตะปาปา ในตอนนั้น สันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ได้ให้การสนับสนุนฝ่ายฝรั่งเศสในความพยายามเปลี่ยนขั้วอำนาจในภาคพื้นยุโรปและต้องการปลดปล่อยรัฐสันตะปาปาจากการควบคุมของจักรวรรดิ ทว่าความพยายามนี้ไร้ผล พระเจ้าชาร์ลสามารถเอาชนะกองทัพของเหล่าพันธมิตรได้ แต่หลังสงคราม พระเจ้าชาร์ลไม่ได้จ่ายเงินให้กับกองทหารรับจ้างตามข้อตกลงทำให้พวกนั้นไม่พอใจ ดังนั้นทหารรับจ้างจำนวนสองหมื่นนายที่ชุมนุมพลอยู่ใกล้กรุงโรมจึงยกกำลังเข้าโจมตีกรุงโรม โดยละเมิดข้อตกลงที่ฝ่ายจักรวรรดิทำไว้กับทางโรมในตอนเช้าของวันที่ 6 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1527 กองทหารรับจ้างชาวสเปนจากกองบัญชาการบนเนินเขากีอานิโคโล ก็ยกกำลังเข้าโจมตีประตูทอริออนี (Torrione Gate) หลังจากการโจมตีอย่างดุเดือดกองทหารสเปนก็บุกฝ่าเข้าไปได้ สำเร็จ กำลังพลฝ่ายโรมแตกพ่ายยับเยิน  หน่วยทหารองครักษ์สวิส ยืนรักษาที่มั่นอยู่ตรงเสาโอเบลิก (ปัจจุบันคือบริเวณจตุรัส เซนต์ปีเตอร์) ร่วมด้วยทหารชาวโรมจำนวนเล็กน้อย พวกเขายังคงยืนหยัดต้านทานแม้จะสิ้นหวัง หัวหน้าของทหารองครักษ์สวิส ชื่อ กัสปาร์ รอยส์ (Kaspar Röist) ได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้และถูกฆ่าในที่พักทหารในเวลาต่อมา โดยทหารรับจ้างชาวสเปนต่อหน้าภรรยาของเขา พร้อมด้วยทหารสวิสอีก 189 นายที่พลีชีพในศึกครั้งนั้น มีเพียง 42 นายเท่านั้นที่รอดชีวิต กำลังส่วนหนึ่งที่รอดชีวิต ภายใต้การนำของ เฮอร์คิวลีส โกลด์ลี (Hercules Göldli) ได้คุ้มครอง สันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ล่าถอยไปตามเส้นทางลับที่สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 เคยสร้างไว้ เส้นทางนี้เชื่อมระหว่าง วาติกันกับปราสาท เซนต์ เองเจโล (Castel Sant’Angelo) ซึ่งเป็นที่ที่สันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ไปลี้ภัยที่นั่น ในการปล้นสะดมครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งหมื่นคน ทรัพย์สินถูกปล้นไปเป็นจำนวนมหาศาลรวมทั้งสุสานของอดีตพระสันตะปาปา ก็ยังถูกทำลายไปด้วย


                                                                (  จตุรัส เซนต์ปีเตอร์ ในปัจจุบัน )

         แม้ว่าการปล้นสะดมในครั้งนี้ ดูเหมือนจะทำให้พระเจ้าชาร์ลได้รับความอับอายและเสียพระพักตร์ที่ไม่อาจทรงควบคุมกองทหารของพระองค์ได้  แต่การณ์กลับเป็นว่าพระองค์เองก็ไม่ได้ทรงไม่พอพระทัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่  เพราะในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ทหารพวกนี้ทำนั้น ก็เป็นการต่อต้านองค์สันตะปาปามากกว่าและพระเจ้าชาร์ลก็อาจทรงเห็นว่านี้คือการให้บทเรียนแก่สันตปาปาที่คิดจะต่อต้านพระองค์  หลังจากนั้นไม่นาน สันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ก็ยอมจำนน และทรงใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของพระองค์โดยการหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะสร้างความขัดแย้งกับทางจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
  ( ทหารรับจ้างชาวสวีส )

        เห็นสีเจ็บๆแบบนี้ชุดนี้ออกแบบ  โดย ลีโอนาโด ดาวินชี่  เชียวนะครับ  เครื่องแบบก็ไม่ได้เปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยนั้นนั่นแล

                                         ( ยุคสมัยเปลี่ยนไป อาวุธก็เปลี่ยนตามปืนไรเฟิลแบบจู่โจม)

         อย่างไรก็ตามวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ในการปกป้ององค์สันตะปาปาของเหล่าทหารองครักษ์ชาวสวิสในครั้งนั้น ได้สร้างความประทับใจให้กับทางวาติกันและทำให้ทางวาติกัน ยังคงจ้างทหารสวิส เป็นทหารรักษาการณ์ในวาติกันตราบมาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้ในวาติกันมีทหารสวิสรักษาการณ์อยู่ประมาณ 100 นาย และมีการเกณฑ์ทหารใหม่เข้ามาแทนที่กองกำลังที่ลาออกไป โดยผู้ที่จะมาเป็นทหารนั้น ต้องนับถือนิกายโรมันคาทอลิก และต้องผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้ว อีกทั้งยังต้องได้รับการรับรองจากโบสถ์ในท้องถิ่นด้วย และในวันที่ 6 พฤษภาคม ของทุกปี จะเป็นวันที่บรรดาทหารใหม่ทำการปฏิญาณตน



 


วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บอดี้การ์ด ยอมตายให้นายรอด



         โลกเราทุกวันนี้กำลังร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากสภาพ อากาศ และความร้อนแรงของสถานการณ์ทางการเมืองในหลายภูมิภาคที่มีอาชญากรรม และการก่อการร้ายมากขึ้น ทำให้อาชีพหนึ่งกลายเป็นอาชีพที่กำลังรุ่ง คือ องครักษ์ หรือ บอดี้การ์ด   ใช้สำหรับ คุ้มกัน คุ้มครอง บุคคลสำคัญ  สถานที่สำคัญ  คนรวย (สำหรับภาคธุรกิจเอกชนทั่วไปก็นิยมใช้เหมือนกัน แต่เรียกว่า ยาม หรืออาจจะเรียกดูดีหน่อย คือ รปภ. เจ้าหน้าที่รักกษาความปลอดภัย นั้นเองครับ )

         อันที่จริง บอดี้การ์ดเป็นอาชีพที่มีมาเนิ่นนานแล้ว อาจจะเป็นหนึ่งในอาชีพที่เก่าแก่พอๆกับพัฒนาการของระบบสังคมโลก  ที่ผู้มีอำนาจ หรือร่ำรวยมักจะวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัย 
และต้องมีองครักษ์พิทักษ์กายไว้ใกล้ๆ  ใน หลากหลายรูปแบบ อาจจะเริ่มจากคนในบ้าน คนสนิทที่ไว้ใจ เรื่อยมาจน ถึง ทหาร ตำรวจ  และ เหล่าบอดี้การ์ด มืออาชีพ ที่มีการตั้งเป็นองค์กรโดยเฉพาะ

 
        The Swiss Guard - สวิสการ์ด กองทหารของพระสันตะปาปา (กองทหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังประจำ­การอยู่)
 
        หากมองในรูปขององค์กรแล้ว หน่วยงานที่มีชื่อเสียง มายาวนานที่สุดหน่วยงานหนึ่ง เห็นจะเป็นกลุ่มที่เรียกว่า The Swiss Guard  สวิสการ์ด อันมีประวัติมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่ง กษัตริย์ฝรั่งเศสจัดตั้งกององครักษ์ขึ้นในพระราชวัง โดยใช้เหล่าทหารมืออาชีพจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความ มีระเบียบวินัยที่สุดในโลก แถมยังมีประสิทธิภาพล้นเหลือในการดูแลความปลอดภัยอย่างยอดเยี่ยม

 
        ล่วงมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18  The Swiss Guard  สวิสการ์ดยังคงมีบทบาทอย่างสูงในการปกปักรักษาเชื้อพระวงศ์ในปารีส จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสใน ค.ศ.1792  The Swiss Guard  สวิสการ์ด ราว 900 นาย ก็ช่วยกันป้องกันพระราชวังตุยเลอรีส์ จนตัวตาย เกือบทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด


        อนุสาวรีย์สิงโต แกะสลักริมหน้าผา มีภาษาละตินจารึกอยู่ว่า "Helvetiorum Fidel ac Virtuti" 
อันมีความหมายถึงความกล้าหาญ ซื่อสัตย์และเสียสละ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ทหารสวิสที่เสียชีวิตจากการปกป้อง พระราชวังตุยเลอลีสในฝรั่งเศส 


 
 
        ถึงทุกวันนี้ The Swiss Guard  สวิสการ์ด ก็ยังคงเป็นกองกำลังที่ได้รับความ เชื่อถือ และทำหน้าที่อันทรงเกียรติอยู่ในประเทศที่เล็กที่สุด ประเทศหนึ่งของโลก แต่เป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศาสนิกชน นั่นคือ นครวาติกัน ซึ่งสวิสการ์ดเข้าประจำการรับหน้าที่รักษาความปลอดภัยแก่องค์สันตะปาปา มาตั้งแต่ ค.ศ.1506 จนถึงปัจจุบันก็นับได้กว่า 500  ปีเข้าไปแล้ว ที่สวิสการ์ด ผู้แต่งกายด้วยชุดฟอร์มหลากหลายสีสันเป็นหนึ่งใน สัญลักษณ์ที่สำคัญของวาติกัน